Sunday, October 14, 2018

ภาพตัวอย่างจากกล้อง Google Pixel 3 XL สุดยอดมากเลยครับ

ตอนนี้ Google Pixel 3 XL เพิ่งเปิดตัว ตอนแรกก็สนใจ Huawei P20 Pro แต่ตอนนี้เล่นเอาลังเลเลย คงต้องพักไว้นิดนึง
... คือโดยรวม ผมว่า Huawei P20 Pro น่าจะดีกว่านะครับ สำหรับกล้องหลัง แต่ผมว่า Google Pixel 3 XL น่าจะให้ผลลัพธ์ไม่ต่างมาก น่าจะพอๆกัน ไม่ว่าจะถ่ายกลางวันหรือกลางคืน หรือถ่ายย้อนแสงโดยให้ตัวแบบอยู่ในที่ร่มแต่ฉากหลังสว่างกว่า
แต่จุดเด่นที่ Google Pixel 3 XL มีก็คือกล้องหน้า 2 ตัว!! เหมาะกับการ Selfie สุดๆครับ ซึ่งกล้องรุ่นอื่นๆมักจะให้ความสำคัญกับกล้องหลังแต่ไม่สนใจเซลฟี่มากนัก (คือก็สนใจแหละ แต่ไม่เยอะมากนัก) โดยกล้องหน้าของ Google Pixel 3 XL นั้น จะมีตัวเลนส์ไวด์กว้างๆไว้ตัวหนึ่ง แล้วก็ตัวที่กว้างน้อยกว่าอีกตัวหนึ่ง แต่ให้รายละเอียดมากกว่า เรียกว่าเลือกถ่ายได้ 2 เลนส์ ชอบตรงนี้ครับ

ภาพตัวอย่างที่น่าสนใจก็คือจากลิงค์นี้ครับ
https://www.flickr.com/photos/teknofilo/albums/72157674487257418

Sunday, February 11, 2018

รีวิว Comptoir Gourmand ร้านเบเกอรี่ใน Borough Market London ครับ

ตอนได้แวะไปเดินเล่นที่ย่าน Borough Market ในลอนดอนประเทศอังกฤษนั้น ก็ได้แวะไปชิมเบเกอรี่จากร้านที่ชื่อว่า Comptoir Gourmand มาครับ เป็นร้านที่ไม่ได้ตั้งใจแวะ แต่เค้ายื่นมาให้ชิมฟรีๆ พอชิมแล้ว อ้าววว อร่อยมาก ก็เลยอุดหนุนแล้วเอามารีวิวบอกต่อครับ

ตอนแรกก็คือ สะดุดกับมาการองที่วางขายอยู่เยอะ ครับ มีเค้กขอนไม้ มีคุกกี้อันใหญ่ๆ เมอแรง
แต่ที่ทำให้หยุดจริงๆ ก็ตามภาพครับ เดินผ่านแล้วเค้าก็ยื่นมาให้ชิมแบบนี้ ผมชิมบราวนี่ธรรมดาๆนี่แหละครับ แต่มันอร่อยมากๆ ก็เลยได้อุดหนุนแล้วก็ถ่ายรูปร้านนี้มาฝากกัน
พอลองส่องดูดีๆ จะเห็นว่าหลายๆเมนู เค้ก ขนมปังต่างๆ น่ากินมากๆอ่ะครับ
บางคนอาจจะคิดว่าไปกินเค้กที่เมืองฝรั่งอย่างอังกฤษ ร้านไหนๆก็คงอร่อย ... ขอบอกเลยว่าไม่ใช่ครับ 555+ เมนูอย่างบราวนี่ เชื่อไหม ว่าในไทยอร่อยกว่าหลายร้านเลย
แต่ร้านนี้อร่อยจริงๆ ก็เลยอยากแนะนำ
พอลองดูดีๆแล้ว เมนูอื่นๆก็น่าจะอร่อยมากๆทั้งนั้นเลยครับ (ผมอยากชิมอันกลมๆชั้นบนเป็นชอคโกแล้วหยอดครีมคล้ายๆคาราเมลตรงกลางอ่ะครับ ถ่ายรูปมาละลานตา เพิ่งอยากกินตอนมาดูภาพย้อนหลัง)
คาเนเล่ก็มีขายนะครับ ขนมฝรั่งเศสหาทานยากในไทย ลองชิมดูได้ ผมเคยชิมร้านอื่นมาแล้วน่ะครับ มันจะคล้ายๆขนมไข่แต่เนื้อจะแน่นๆหนักๆ ผิวด้านนอกจะหอมน้ำตาลไหม้ หอมอร่อยมากๆ
และนี่ครับ หลักฐานว่าอุดหนุนบราวนี่มาจริงๆ
ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะกินบราวนี่ในอังกฤษหรอกครับ ในไทยมีขายเยอะแยะ
แต่พอชิมแล้วอร่อย ก็อดไม่ได้ที่จะซื้อมาสักชิ้นครับ

ใครสนใจได้ไปเดินเล่นที่ Borough Market ก็ซื้อทานได้ครับ แนะนำครับสำหรับร้านนี้

รีวิว Misato ร้านอาหารญี่ปุ่นราคาถูกให้เยอะ กรุง London ประเทศอังกฤษ

ค่าครองชีพในประเทศอังกฤษโดยเฉพาะกรุงลอนดอนนั้น เอาจริงๆก็ไม่ได้มากมายอะไรหากคุณมีที่บ้านและทำอาหารทานเองได้ เพราะอาหารสดไม่ได้แพงมากนัก แต่ถ้าต้องจ่ายค่าเช่าที่พักและเป็นคนทำอาหารไม่อร่อย ต้องพึ่งพาร้านอาหารบ้างนานๆครั้ง ขอแนะนำร้านอาหารราคาถูกและให้เยอะ แถมยังรสชาติถูกปากคนไทยเพราะเป็นอาหารญี่ปุ่น มาแนะนำครับ

ร้านที่ว่านี่คือร้านที่ชื่อว่า Misato (มิซาโตะ) ครับ เป็น japanese restaurant ตั้งอยู่ใน London เป็นร้านที่ราคาถูกที่สุดที่ผมเจอมาในประเทศอังกฤษนี่เลยครับ (ถ้าราคาเดียวกันส่วนใหญ่จะได้แค่ Wok หรือข้าวราดแกงแบบกล่องๆ รสชาติไม่ดีนัก)
ให้ดูภาพเมนูแรกกันก่อนครับ ข้าวหน้าเทมปุระครับ
มีช้อนไว้ให้ดูข้างๆเพื่อเทียบสเกลครับ ปริมาณใช้ได้เลยครับ!!
สำหรับราคานั้น อยู่ที่จานละประมาณ 5.5 ปอนด์ ราคาจะประมาณฟูจิในไทยเท่านั้น (บางคนอาจจะคิดว่าอ้าว มันก็แพงนี่นา? แต่จริงๆร้านอื่นๆราคาประมาณ 10-15 ปอนด์ทั้งนั้นครับ)
ถามว่ารสชาติดีไหม ก็รสชาติดีครับ รสชาติยังคงเป็นคนเอเซียทำ (เห็นเมนูญี่ปุ่นเหมือนจะง่ายๆ แต่ฝรั่งทำรสชาติจะประหลาดๆครับ ไม่รู้ทำไม)

และด้วยราคาที่ถูก รสชาติก็ดีนี้เอง ทำให้คนมาทานกันเยอะครับ ในภาพนี่คือผมไปหลังร้านเปิด 5 นาทีนะครับ ยังพอมีโต๊ะว่าง แต่หลังจากนั้น เต็มครับ ต้องเข้าคิวนิดนึง แต่คนก็ยอมครับ เพราะถูกอร่อยและอิ่มครับ
เมนูแนวโซบะ ราเม็งก็มีครับ แต่ไม่ใช่อาหารหลักของที่นี่ ผมว่าธรรมดาๆครับ สั่งเมนูข้าวดีกว่า
อันนี้เมนูที่คนชอบสั่งครับ ข้าวหมูทอด ได้หมูแผ่นใหญ่ กินกับข้าว อิ่มครับ (ใครชอบแนวคัทซึด้งก็มีนะครับ)
อันนี้จำเมนูไม่ได้ครับ ว่าสั่งอะไร แต่ที่ร้านมิซาโตะนี่ล่ะครับ อร่อยดีครับ
ใครไปเที่ยวลอนดอน แล้วโหยหาอาหารเอเซีย เบื่ออาหารฝรั่ง แต่อยากได้ราคาไม่แพงมาก ใกล้ๆกับร้านในไทยก็ยังดี ก็แนะนำมิซาโตะนี่ล่ะครับ ผมไปกินมา 3-4 รอบได้ละครับ

Friday, February 9, 2018

รีวิวคอลลาเจนผง Collagen Powder ชนิดชงผสมนมน้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มต่างๆ

คอลลาเจนผงสำหรับชงดื่มหรือ collagen powder ที่เอามาแนะนำกันนี้ เป็นของยี่ห้อ Nu U Nutrition ครับ
รับประกันว่าไม่มีรสชาติ เอาไปชงกับนมน้ำผลไม้ หรือน้ำปั่นอะไรก็ได้ ว่าแล้วก็เลยสอยมาลองชงกินดู
โฆษณาด้านข้างครับ น้ำ น้ำผลไม้ หรือสมูทตี้ ได้หมด
รวมสรรพคุณที่มีกรดอะมิโน 18 ชนิดเข้าไปแล้ว
ข้างในเป็นซองแบบซีลได้ครับ แล้วก็มีช้อนมาให้ ตักชงวันละ 1 ช้อนเท่านั้นครับ
จากการที่ลองใช้พบว่ามีข้อดีคือ
1. ไม่มีสี ทำให้เวลาชงกับเครื่องดื่ม หรือน้ำเปล่า ก็ไม่ทำให้เครื่องดื่มนั้นๆดูไม่น่ากินจากสีขุ่นๆ
2. ไม่มีรส ทำให้ชงเข้ากับเครื่องดื่มอะไรก็ได้ รสไม่เปลี่ยนครับ
3. ละลายไวมากๆในน้ำร้อน
4. ชงในเครื่องดื่มเย็นได้

ข้อเสียก็คือว่า มันชงในเครื่องดื่มหรือน้ำเย็นได้ก็จริง แต่ละลายช้ามากครับ ตอนแรกจะจับตัวเป็นก้อนๆเหมือนไม่ละลาย แต่ทิ้งไว้พักนึง ก็จะเริ่มละลายเองครับ ประมาณ 5-10 นาที ซึ่งก็นานไม่ทันใจเท่าไหร่ครับ หากต้องการจะดื่มทันที

ยังไงก็ตาม โดยรวมจัดว่าคุ้มค่าครับ เครื่องดื่มคอลลาเจนที่ขายสำเร็จมักมีราคาแพง มาดื่มแบบนี้ประหยัดกว่าเยอะครับ มี 600 กรัม ราคาประมาณ 500 บาทเท่านั้นครับ

รีวิวรองเท้า Bally รุ่น Henton สีขาว สวยมากๆครับ ^ ^

อีกหนึ่งรองเท้าตัวโปรดที่อยากนำมารีวิวในครั้งนี้ก็คือรองเท้า Bally ครับ รุ่น Henton สีขาว หนัง White Calf Perforated คาดแถบขาวแดงที่เป็นริ้วเด่นของแบรนด์ Bally ครับ โดยรุ่นที่เอามาให้ดูกันนี้เป็นรุ่น Spring Summer ของปี 2017 ครับ แต่รองเท้า Henton ก็จะออกทุกปีล่ะครับ ต่างกันเล็กน้อย โดยรุ่นนี้จะมีการเจาะรูที่หนังชั้นนอกกลมๆเข้าไป (มีอีกรุ่นที่ติดสตัดโลหะสี่เหลี่ยมด้วย แต่ผมว่าอันนั้นมันแฟชั่นแรงเกินไป)
ลักษณะของ Bally ก็แบบนี้ล่ะครับ เรียบๆครับ
ไม่หวือหวามากเมื่อเทียบกับแบรนด์เนม High-End ยี่ห้ออื่นๆ ... คือจริงๆก็มีรุ่นที่แฟชั่นจัดๆแรงๆบ้างแต่มีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่น ส่วนใหญ่จะเรียบๆครับ แต่ลูกเล่นเล็กๆน้อยๆบนรองเท้าที่มี ผมมองว่ามันดูเก๋ดีแต่ไม่ล้นครับ

กล่องของ Bally ครับ
เปิดออกดู มีถุงผ้าให้ใส่รองเท้า ... และ!! เชือกผูกรองเท้าสีแดง
ดังนั้น ถ้าใช้เชือกตัวนี้ ก็จะได้รองเท้าอีกลุคหนึ่งครับ เพราะที่ติดมากับตัวรองเท้าเลยจะเป็นเชือกสีขาว
แต่ผมคงไม่ใช้ กะว่าจะเปลี่ยนก็ตอนที่เชือกอันเก่ามันเริ่มเก่าแล้วมากกว่า (ตัวหนังของ Bally ไม่ต้องกลัวเรื่องเก่าครับ อาจจะมีรอยย่นจากการใช้งาน แต่แบรนด์ระดับนี้แล้ว ยากที่จะแตกลายงาครับ ผมมีคู่เก่าสีดำคู่หนึ่ง ปัจจุบันสภาพยังดีมากๆ)
แกะออกดู เจอรองเท้าห่อพลาสติกอีกทีด้านใน ปล. คู่นี้ซื้อจากเวบไซค์ Giglio ซึ่งเป็นช้อปแบรนเนมในประเทศ Italy ครับ
ราคาเต็มอยู่ที่ 350 Euro ครับ หรือประมาณ 14,000 บาท คาดว่าที่ขายในช้อปไทย น่าจะแพงกว่านี้เล็กน้อย อาจจะอยู่ที่ 15,000-17,500 บาท ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ
แต่ที่แน่ๆ ที่ผมซื้อเพราะมันเซลครับ ได้มาในราคาประมาณ 7,000 บาทเท่านั้นเอง!! ถูกกว่ารองเท้ายี่ห้อ High-Street หลายๆรุ่นเลยครับ
จากนั้นก็มาดูหน้าตารองเท้ากันดีกว่าครับ Bally Henton ครับ
ด้านหลัง
ส้นเท้าจะมีคำว่า BALLY แบบนี้ครับ
และแถบริ้วขาวแดง สัญลักษณ์สีธงชาติของสวิสเซอร์แลนด์ครับ (รองเท้ายี่ห้อนี้เป็นแบรนด์สวิสครับ แต่สินค้าหลายๆตัวก็จะผลิตในอิตาลี สองประเทศนี้ติดกัน นอกจากนั้น สินค้าแบรนด์เนม High-End หลายๆตัว อย่างของ Burberry ที่เป็นแบรนด์อังกฤษ ถ้าเป็นไลน์ขึ้น Catwalk ก็มักจะผลิตในอิตาลีครับ แต่หลักๆของ Burberry นี่ผลิตในไทยนะเออ 555+)
ลิ้นรองเท้าแปะตรา Bally Switzerland
ด้านในพื้นรองเท้าครับ ผมมีคู่เก่าคู่หนึ่ง มีคำว่า Switzerland ด้วย แต่รุ่นใหม่นี้มีแค่คำว่า Bally เฉยๆครับ (ปี 2017 เผื่อใครนำไปอ้างอิงนะครับ)
ด้านข้างรองเท้าทั้งฝั่งในและนอก
ดูภาพกันยาวๆครับ
ด้านหน้า
รูกลมๆนี้ไม่ได้เป็นลักษณะที่จะพบใน Henton ทุกรุ่นนะครับ เฉพาะของปีนี้ครับ บางปีก็ไม่ได้มีรูแบบนี้ครับ
ภาพนี้ให้ดูเชือกผูกรองเท้าครับ สังเกตุไหม ว่าผ้าไม่ใช่แบบปกติของแบรนด์ทั่วๆไป ทำออกมาเฉพาะของ Bally ครับ
มีใบแบบนี้ให้ มีหลายภาษา ซึ่งเนื้อกระดาษจะคุณภาพดี
ส่วนคำว่า Quality control ซึ่งเป็นใบแบบกระดาษ A4 ปริ๊นท์ออกมาธรรมดาๆเลยครับ
ด้านข้างกล่องครับ ระบุไซส์และรุ่น Henton FO/107 หนังแบบ White Calf Perforated ครับ
ไม่รู้คนอื่นเห็นว่ายังไงกันบ้างครับ
แต่โดยส่วนตัวคือถูกใจแบรนด์นี้มากๆครับ รองเท้าเค้ามีเอกลักษณ์จุดเด่น แต่ไม่โชว์หรือโหลจนเกินไป ดูเรียบร้อยแบบแอบติดเก๋นิดหน่อย ใส่ได้แม้จะวัยรุ่นหรือวัยทำงานเป็นผู้ใหญ่ครับ

หม่าล่า คืออะไร เผ็ดแค่ไหน!?

ช่วงนี้หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า "หม่าล่า" (Mala) หรือเผ็ดลิ้นชา กันอยู่บ่อยๆ เนื่องจากอาหารจีนตำรับเผ็ดนั้นค่อนข้างถูกปากคนไทยไม่น้อย
หม่าล่านั้นเป็นอาหารตำรับที่มีสูตรมาจากเสฉวน (Sichuan) ครับ ซึ่งเป็นย่านที่เน้นอาหารเผ็ดเป็นเมนูหลักๆ เรียกว่าร้านอาหารตลอดจนสตรีทฟู้ดในเขตมณฑลนี้ คุณจะเจออาหารเผ็ดร้อนมากกว่าอาหารไทยซะอีก และหม่าล่าก็เป็นส่วนผสมที่เจอได้บ่อยในหลายๆเมนูครับ

หม่าล่านั้น ประกอบด้วยส่วนประกอบหลักๆ 3 ตัวครับ คือ
1. เมล็ดพริกไทยตากแห้ง (พันธุ์เสฉวน)
2. พริกแห้ง (คล้ายๆพริกกระเหรี่ยง)
3. น้ำมันพืช
นอกจากนั้นยังอาจจะมีเครื่องเทศอื่นๆผสมเพิ่มเติมตามแต่สูตรครับ

ซึ่งความเผ็ดนั้น ก็ไม่ได้เผ็ดมากเกินหน้าอาหารไทยที่เผ็ดมากๆหรอกครับ แต่จุดเด่นคือ "ลิ้นชา" จาก "เมล็ดพริกไทยตากแห้ง" ที่ใส่เข้ามาเป็นเม็ดๆครับ แล้วเม็ดมันก็จะเล็กๆ กินไปกินมาก็เผลอกัดไปโดน ลิ้นก็จะชาๆครับ แต่จริงๆแล้วมันไม่ได้เผ็ดมากจนลิ้นชาอย่างที่เข้าใจ แต่ลิ้นชาจากส่วนประกอบนี้ครับ
ซึ่งความรู้สึกลิ้นชานี้ ก็คือจุดเด่นของสูตรอาหารแบบ "หม่าล่า" นั่นเองครับ

ภาพตัวอย่างอาหารที่ใช้หม่าล่าเป็นเครื่องปรุง
ภาพด้านบนนี้คือต้มเนื้อปลาเสฉวนครับ น้ำซุปก็จะปรุงรสสไตล์ของจีนเสฉวนนั่นแหละครับ แต่ท๊อปปิ้งด้วย "หม่าล่า" อีกที
ซึ่งจะเห็นว่ามีพริกมากมาย แล้วก็ฉ่ำไปด้วยน้ำมัน
โดยปกติแล้ว เค้าจะใช้น้ำหม่าล่าเยอะมาก เรียกว่าชั้นบนนี่คือชุ่มไปด้วยน้ำมันครับ ใครเกลียดของมันๆ กินบ่อยๆก็เอียนเหมือนกันครับ แต่ไม่เอียนเท่าอาหารฝรั่งนะครับ เพราะมันก็ยังมีความเผ็ดร้อน
จุดเด่นคือเมื่อมีการเคลือบน้ำมันหนาๆที่ด้านบน น้ำซุปด้านล่างจะร้อนมากๆจนทานหมดเลยครับ ไม่ทันรอให้อาหารเย็นครับ

ถ้าใครไม่ชอบอาการลิ้นชา แต่ชอบรสชาติหอมพริกสไตล์อาหารจีน ก็พยายามเลี่ยงเมล็กพริกไทยตากแห้ง แค่นี้ลิ้นก็ไม่ชาแล้วครับ เพราะเค้าไม่ได้ตำเมล็ดนี้เข้าไป แต่ใส่เป็นเมล็ดๆเลย ซึ่งพอจะเลี่ยงได้ครับ

Thursday, February 8, 2018

รีวิวเสื้อยืด Dr Martens ครับ (แนว raglan ครับ) ^ ^

เสื้อแนว raglan คือเสื้อยืดแขนสั้นที่มีการตัดสีบริเวณแขนเสื้อทั้งสองข้างกับตัวเสื้อต่างกัน เป็นอีกแนวหนึ่งที่ให้ลุคแฟชั่นนิดๆครับไม่แรงมาก ผมชอบเป็นการส่วนตัว
เผอิญเจอเสื้อแนวนี้ของ Dr. Martens เข้า ก็เลยสอยมา 2 ตัวเลย เสื้อคุณภาพใช้ได้ครับ ไม่ถึงกับดีมากนะครับ แต่ก็สมราคาที่เซลอยู่ที่ประมาณตัวละ 450 บาทครับ (ถือว่าถูกมากๆแล้วนะ สำหรับแบรนด์นี้)

ตัวแรกเป็นเสื้อสีเทาแล้วแขนกับคอเป็นสีเลือดนกครับ เป็นสีฮิตที่ทาง Dr Martens ชอบเอามาทำเป็นเสื้อผ้าครับ
โลโก้ที่คอเสื้อ
มีการปริ๊นท์โลโก้คำว่า DrMartens เล็กๆไว้ที่ขอบชายเสื้อด้านล่างครับ
และด้านหลัง มีการสกรีนภาพรองเท้า Dr Martens เอาไว้ (ก็จริงๆรองเท้าคือสินค้าหลักของยี่ห้อนี้นี่เนอะ)
ชอบตรงที่มีการคลิปคำว่า AirWair เอาไว้ด้านหลังคอเสื้อครับ ตรงนี้ทำเหมือนรองเท้าของ Dr Martens เลยครับ ที่ชอบที่จะติดผ้าคำนี้เอาไว้บริเวณด้านหลังรองเท้า
อีกตัวที่ได้มาเป็นสีเลือดนกแขนเป็นสีดำครับ เสื้อ raglan เหมือนกัน ราคาเดียวกันเลยสอยมาสองตัวเลย
ด้านหลังครับ เหมือนตัวแรกทุกอย่าง ต่างแค่สีครับ
คุณภาพการปริ๊นท์จัดว่าดีมากๆครับ เข้าไปในเนื้อผ้าเลยครับ
คุณภาพรวมๆ ผ้านุ่มทิ้งตัวดีครับ ดีกว่าแบรนด์ตลาดนัดแน่นอน แต่ก็ไม่ได้ดีมากมายอะไรหากเทียบกับเสื้อแบรนด์ High Street ครับ แต่หากมองในแง่ราคาที่ไม่ถึง 500 บาท (มันเซลน่ะครับ) ก็จัดว่าคุ้มค่ามากๆสำหรับแบรนด์ยี่ห้อนี้ครับ